“ศ.ดร.เกรียงศักดิ์” แนะ ไทยเดินเกมรุก 9 ยุทธศาสตร์เร่งทำ FTA ครอบคลุมทุกประเทศทั่วโลกให้มากที่สุด ชี้ ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน สร้างความได้เปรียบในระบบเศรษฐกิจโลก

   ศ.ดร.เกรียงศักดิ์   เจริญวงศ์ศักดิ์  นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประธานสถาบันการสร้างชาติ (NBI)และประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา(IFD) กล่าวในหัวข้อ “ไทยควรเร่งทำ FTA ให้ครอบคลุมประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกให้มากที่สุด” ว่า การเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์เศรษฐกิจโลกหลังยุค COVID-19 และการหวนกลับของแนวนโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยมภายใต้ Trumpism ได้เร่งระบบการค้าโลกจาก “ความร่วมมือ” ไปสู่ “การแข่งขันเชิงอำนาจ” โดยประเทศต่าง ๆ ได้นำข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) มาเป็นกลไกกำหนดระเบียบเศรษฐกิจโลกและกำหนดตำแหน่งในห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ภายใต้บริบทดังกล่าว ไทยจึงไม่สามารถดำเนินยุทธศาสตร์เชิงรับได้อีกต่อไป เพราะการขาดเครือข่าย FTA ที่ครอบคลุมจะทำให้ไทยถูกลดบทบาทในระบบการค้าโลกและสูญเสียอำนาจในการกำหนดทิศทางของตนเอง ดังนั้นการเข้าร่วม FTA จึงไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” แต่เป็น “ยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอดและการยกระดับประเทศ”

ปัจจุบันภาพรวม FTA ไทยอยู่ตรงไหนของภูมิภาค โดยในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศในอาเซียนใช้ FTA เป็น “ยุทธศาสตร์เชื่อมต่อเศรษฐกิจสู่โลก” ไม่ใช่เพียงเครื่องมือด้านภาษีเท่านั้น โดยสิงคโปร์และเวียดนามสามารถสร้างเครือข่าย FTA กับประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจระดับโลกได้ จึงขยับสถานะของตนจากผู้ผลิตในภูมิภาค สู่การเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตโลก (Global Value Chain) ขณะที่ไทยแม้จะมี FTA จำนวนใกล้เคียงกับเพื่อนบ้าน แต่โครงสร้างของ FTA ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกรอบภูมิภาคเดิม จึงยังไม่สามารถยกระดับตำแหน่งของประเทศในห่วงโซ่มูลค่าโลกได้อย่างเต็มที่

สิงคโปร์ เป็นประเทศที่มีเครือข่าย FTA ครอบคลุมมากที่สุดในอาเซียนโดยลงนามแล้ว 28 ฉบับ ครอบคลุมกว่า 60 ประเทศในทุกภูมิภาคสำคัญของโลก อาทิ สหภาพยุโรป จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และสหราชอาณาจักร เป็นต้น นับเป็นการตอกย้ำบทบาทในฐานะ “ศูนย์กลางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระดับโลก”  ส่วนเวียดนาม มี FTA จำนวน 16 ฉบับ ครอบคลุมเกือบ 60 ประเทศเป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน และสามารถเข้าถึงข้อตกลงที่ไทยยังไม่สามารถเจรจาได้ เช่น สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร ชิลี อิสราเอล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์ที่ยกระดับเวียดนามเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตโลก

ขณะเดียวกัน อินโดนีเซีย มี FTA จำนวน 16 ฉบับ ครอบคลุม 24 ประเทศ  อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไทยและมาเลเซีย แต่มีข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์จากทรัพยากรธรรมชาติและตลาดภายในประเทศกว่า 270 ล้านคน ซึ่งเป็นฐานรองรับการลงทุนระยะยาว   และมาเลเซีย มี FTA จำนวน 16 ฉบับ ครอบคลุม 22 ประเทศ  จุดแข็งคือ การเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางการค้าภาคพื้นแปซิฟิกที่ครอบคลุมและก้าวหน้า (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership: CPTPP) ซึ่งเปิดทางให้สามารถเข้าถึงตลาดหลักอย่างแคนาดา เม็กซิโก เปรู ออสเตรเลีย และอื่น ๆ ได้อย่างปลอดภาษี 

โดยปัจจุบัน ไทย มี FTA จำนวน 16 ฉบับ ครอบคลุม 23 ประเทศ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่เป็นข้อตกลงระดับภูมิภาค เช่น ASEAN, RCEP และข้อตกลงกับประเทศคู่ค้าดั้งเดิมในเอเชีย และยิ่งไปกว่านั้น ไทยยังไม่มี FTA กับเศรษฐกิจหลักอย่างสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร หรือกลุ่มตะวันออกกลางที่กำลังกลายเป็นศูนย์กลางการเงินใหม่ของโลก 

ทั้งนี้ ความท้าทายของไทยในการทำ FTA คือ ไทยกำลังเผชิญข้อจำกัดสำคัญ 2 ประการที่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ได้แก่ ช่องว่างเชิงยุทธศาสตร์ ไทยยังเข้าไม่ถึงตลาดสำคัญของโลก อย่างสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และกลุ่ม CPTPP ซึ่งเป็นผู้กำหนดกติกาทางการค้า เทคโนโลยี และความยั่งยืนของโลก ขณะเดียวกัน ไทยยังเข้าไม่ถึงตลาดเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังเติบโต เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา ทำให้ไทยเสียเปรียบเชิงโครงสร้าง ทั้งในด้านห่วงโซ่มูลค่าและโอกาสการเติบโตในอนาคต  และเผชิญความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดิม ไทยยังพึ่งพาการส่งออกไปจีนและสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งมีความผันผวนสูงจากสงครามการค้า หากไม่เร่งกระจายความเสี่ยงผ่าน FTA ชุดใหม่ ไทยจะขาดกันชนทางเศรษฐกิจและเสียเสถียรภาพในระยะยาว 

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์  มองว่า ในบริบทการแข่งขัน เศรษฐกิจไทยไม่สามารถรอให้โอกาสเข้ามาหาได้อีกต่อไป แต่จำเป็นต้องเดินเกมรุก สร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในระบบเศรษฐกิจโลก โดยเสนอว่า “ไทยควรเร่งทำ FTA ให้ครอบคลุมประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมากที่สุด” เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ประเทศจำเป็นต้องดำเนินยุทธศาสตร์ 9 ประการ คือ

1. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง การได้เปรียบจาก FTA ต้องมาจากคุณค่าที่แตกต่าง ไม่ใช่จากการแข่งขันด้านราคาเท่านั้น ไทยควรมุ่งสร้างความได้เปรียบจากจุดแกร่งของไทยเอง 4 ด้านตามแนวคิดที่ผมได้เสนอมากว่า 30 ปี  คือ อาหาร อภิบาลผู้สูงวัย การท่องเที่ยว และ สุขสภาพ (Wellness) เพื่อสร้างอำนาจต่อรองทางการค้าในระยะยาว

2. สร้างกลไกความร่วมมือระหว่างรัฐ–เอกชน–สถาบันเชี่ยวชาญ การเจรจา FTA ต้องอาศัยองค์ความรู้เชิงลึก ไทยควรจัดตั้ง “คณะยุทธศาสตร์ FTA แห่งชาติ” ที่มีตัวแทนจากหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และสถาบันวิจัย เพื่อร่วมกันออกแบบข้อตกลงให้ตอบโจทย์เศรษฐกิจไทยในระยะยาว ไม่ใช่เพียงเพื่อรับมือกับยุค Trumpism เท่านั้น แต่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสภาวะการค้าโลกในยุค Post-Trump และภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ในอนาคต

3.การทูตเศรษฐกิจแบบเชิงรุก ภาครัฐต้องเดินหน้าการเจรจา FTA เชิงรุกกับประเทศเป้าหมาย โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น ตะวันออกกลางและสหภาพยุโรป ควบคู่ไปกับการใช้พลังเครือข่าย เช่น กลุ่ม Friends of and for Thailand (FOFT) ซึ่งผมและคณะทำงานได้พบปะเอกอัครราชทูตจากหลายประเทศ เพื่อผลักดันความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ช่วยต่อยอดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทยในเวทีโลก

4. จัดทำแผนที่ภูมิทัศน์ FTA ทั่วโลก (FTA Landscape) ไทยต้องมีข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์เกี่ยวกับ FTA ทั่วโลก เพื่อใช้วิเคราะห์ทิศทางในอนาคตและตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ตามจังหวะการเมืองหรือโอกาสเฉพาะหน้า การเจรจาควรจัดลำดับความสำคัญด้วยหลัก "ผลกระทบเป็นตัวตั้ง" (Impact-First Sequencing) โดยเลือกข้อตกลงที่สร้างผลลัพธ์สูงและดำเนินการได้รวดเร็ว เพราะทรัพยากรของชาติมีจำกัด

 5.  เปิดเสรีภาคบริการ ภาคบริการเป็นกลไกสร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับผลิตภาพของระบบเศรษฐกิจมากกว่าสินค้า จึงเป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์ FTA โดยไทยควรเปิดเสรีบริการหลัก เช่น โลจิสติกส์ การเงิน ประกันภัย และสุขสภาพ (Wellness) เพื่อดึงผู้ให้บริการที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ ลดต้นทุนทางเศรษฐกิจ และยกระดับการแข่งขันของประเทศ

6.  มาตรการฝ่ายเดียวและข้อตกลงย่อย เป็นแนวทางสำคัญของยุทธศาสตร์การค้าในยุคที่การเจรจา FTA เต็มรูปแบบต้องใช้เวลานานและมีต้นทุนค่าเสียโอกาสสูงขึ้นเรื่อย ๆ หลักคิดสำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องรอให้ FTA ครบทุกประเด็น ประเทศก็สามารถเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันและเชื่อมเศรษฐกิจกับคู่ค้าได้ทันที ผ่านมาตรการเฉพาะจุดที่ให้ผลลัพธ์เร็ว เช่น การปรับลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ การทำความตกลงรับรองมาตรฐานร่วมในรายสาขา (Mutual Recognition) การเปิด “ช่องทางด่วน” สำหรับผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน และแรงงานทักษะสูง ตลอดจนการทำข้อตกลงทางเทคนิคเฉพาะเรื่องกับประเทศคู่ค้าเพื่อปลดล็อกอุปสรรครายอุตสาหกรรม

7.  ปรับนโยบายการแข่งขันให้รองรับการเปิดเสรี เพื่อให้ FTA สร้างประโยชน์อย่างแท้จริง ไทยต้องมีระบบการแข่งขันที่เป็นธรรม โดยปรับปรุงกฎหมายและการบังคับใช้ให้ทันสมัย เพื่อป้องกันการผูกขาด และเปิดโอกาสให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถแข่งขันได้ การดำเนินการนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีความยืดหยุ่น และดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่โปร่งใสและมีเสถียรภาพ

8. จัดทำกลไกชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ FTA จะเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ก็ต่อเมื่อรัฐสามารถสร้างความเชื่อมั่นว่าผลประโยชน์จากการเปิดเสรีกระจายอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่ตกอยู่เฉพาะในมือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไทยจึงต้องมีระบบช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีอย่างโปร่งใส มีหลักเกณฑ์ชัดเจน และดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดแรงต้านจากสังคม 

9.  ใช้ FTA เป็นคันโยกดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ควรออกแบบ FTA ควบคู่กับแพ็กเกจจูงใจการลงทุน เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ มาตรฐานสีเขียว และสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อดึงดูด FDI ในอุตสาหกรรมอนาคต พร้อมวางมาตรการรักษาเงินทุนให้หมุนเวียนในประเทศ

“หากไทยเดินหน้าอย่างจริงจังตามยุทธศาสตร์ทั้ง 9 ประการ ประเทศไทยจะไม่เพียงยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังสามารถก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอาเซียน” สามารถดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ และเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศ เพราะฉะนั้น การตัดสินใจของภาครัฐในวันนี้จึงไม่ใช่เพียงเพื่อความรอดทางการค้าอย่างเดียว แต่เป็นการกำหนดความรอดร่วมกันของทั้งประเทศบน “ทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์เพื่ออนาคตของชาติ”ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าว

23 พฤศจิกายน 2568


บริษัท มีเดีย เน็ทเวิร์ค จำกัด
138, 140 ซอยอนามัย ถนนศรีนครินทร์ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ 10250
MEDIA NETWORK Co.,Ltd
138, 140 Soi Anamai Srinakarin Road Suanluang Suanluang Bangkok 10250
Tel. 02 721 4417 Fax. 02 721 5516
E-mail : phototechthailand@gmail.com


ติดต่อโฆษณาหรือข้อมูลเพิ่มเติม
โทร. 02 721 4417 , 097 921 2929 คุณขวัญ

แฟนเพจ Phototech Magazine


ออกแบบโดย touronthai