“ศ.ดร.เกรียงศักดิ์” ห่วงรัฐแก้หนี้ครัวเรือนปลายเหตุ แนะ 4 มาตรการยั่งยืน หนุนคนไทยออม-ลดหนี้

“ศ.ดร.เกรียงศักดิ์” ห่วง รัฐแก้หนี้ครัวเรือนปลายเหตุ-ไม่ครอบคลุมทั้งระบบ แนะ 4 มาตรการแก้แบบยั่งยืน ชี้ ต้องทำระยะยาว ควบคู่ เปลี่ยนพฤติกรรมคนไทย หนุน จูงใจเพิ่มการออม-ลดหนี้ 

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์  (ดร.แดน) ประธานสถาบันการสร้างชาติ(NBI) ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา(IFD) และนักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวถึงประเด็นหนี้ครัวเรือนไทย แก้อย่างไรให้ยั่งยืน ว่า  การเป็นหนี้คือความทุกข์ที่สุด ใครเป็นหนี้เหมือน สุนัขจนตรอก อยู่ในกำมือของเจ้าหนี้ โดยเฉพาะหนี้บริโภค หรือหนี้ที่เกิดจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือบริโภคเกินตัว เป็นอันตรายมาก ซึ่งปัจจุบันหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มาจาก ‘หนี้บริโภค’   โดยครัวเรือนไทยมีอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 86.8 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 18.78 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ราวร้อยละ 82 และแม้จะลดลงจากระดับสูงสุดในไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ร้อยละ 90 แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่น่ากังวล ซึ่งแต่ละครัวเรือนมีหนี้โดยเฉลี่ย 7 แสนบาท เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 22 จากปีก่อน โดยพบว่า เป็นหนี้ในระบบ ร้อยละ 65 ส่วนหนี้นอกระบบมีประมาณร้อยละ 35 ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด และอาจมีความรุนแรงในการทวงหนี้ สร้างความหวาดกลัวและทำให้ผู้กู้บางรายเลือกชำระหนี้นอกระบบก่อน แม้จะต้องละเลยหนี้ในระบบก็ตาม  นอกจากนี้ “หนี้เสีย” หรือ NPL (Non-Performing Loan) ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้หนี้ครัวเรือนกลายเป็น “กับดักหนี้” ที่แก้ได้ยาก 
ทั้งนี้ ดร.แดน ได้วิพากษ์เชิงนโยบายแก้หนี้ครัวเรือนของรัฐบาลนายอนุทิน ว่า  แม้รัฐบาลได้ออกนโยบายจัดการหนี้ครัวเรือนและหนี้เสีย ทั้งการพักชำระหนี้รายย่อย ,ตั้งกองทุนบริหารหนี้รายย่อย (AMC) เพื่อรวบรวมและซื้อหนี้เสีย (NPL) ข้ามสถาบันการเงิน มูลหนี้ที่ต่ำกว่า 100,000บาทและมาตรการลดดอกเบี้ย และขยายงวดการชำระหนี้ เพื่อช่วยลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME)ก็ตาม แต่ก็ยังมีข้อจำกัดสำคัญหลายประการ คือ 1) ปัญหาฐานข้อมูลและการบูรณาการข้อมูลหนี้ ซึ่งลูกหนี้หนึ่งรายอาจมีหนี้หลายบัญชี หรือมีเจ้าหนี้หลายราย ทั้งในและนอกระบบ แต่ระบบข้อมูลหนี้ของประเทศยังแยกส่วนกัน ขาดฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงระหว่างธนาคารของรัฐ เอกชน สถาบันที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) และหนี้นอกระบบ ส่งผลให้การประเมินศักยภาพการชำระหนี้ไม่ตรงตามความเป็นจริง  ส่วนข้อกังวลที่ 2 เรื่องเกณฑ์การคัดกรองที่ไม่ครอบคลุม ซึ่งการใช้เกณฑ์คัดกรองเป็น “มูลหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท” เพียงอย่างเดียว แม้เป็นความตั้งใจแก้ไขปัญหาหนี้รายย่อย แต่ลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวอาจไม่ใช่รายย่อยจริง เพราะไม่ได้พิจารณาหนี้ทั้งหมดของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ทุกราย และเกณฑ์นี้อาจไม่สะท้อนความสามารถในการชำระหนี้จริงของลูกหนี้ เพราะไม่ได้พิจารณาสัดส่วนหนี้ต่อรายได้หรือ Debt Service Ratio (DSR) จึงอาจส่งผลให้กลุ่มเปราะบางบางรายไม่ได้รับความช่วยเหลือ ขณะที่บางรายที่มีรายได้สูงกว่าอาจได้รับสิทธิ์แทน
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวถึงความเสี่ยงประการที่ 3 ด้านพฤติกรรม (Moral Hazard)ของประชาชน ว่า นโยบายพักหนี้และโอนหนี้เสียไป AMC หากดำเนินการโดยไม่ระมัดระวัง อาจสร้าง “แรงจูงใจผิด” ทำให้ลูกหนี้บางรายจงใจไม่จ่ายหนี้ เพราะคาดว่า รัฐบาลจะช่วยเหลือหรืออาจรอให้มีโครงการใหม่มาล้างหนี้ คล้ายกับกรณีหนี้กองทุน กยศ. ในอดีต ความเข้าใจเช่นนี้อาจบั่นทอนวินัยทางการเงิน เพราะจะยิ่งทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น และยังเป็นการส่งสัญญาณ “ซื้อเสียงทางอ้อม”  โดยประเด็นกังวลที่ 4 คือการไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะถือเป็น “นโยบายจานด่วน” ที่แก้ปลายเหตุ โดยไม่ได้จัดการปัจจัยโครงสร้าง เช่น รายได้ที่ไม่เพียงพอ ผลิตภาพแรงงานต่ำ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ลดลง และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หากไม่แก้ที่ต้นตอของปัญหาด้วย ปัญหาหนี้ก็จะกลับมาอีกในอนาคต  และ 5 คือ ปัญหาเชิงบริหารและแรงจูงใจของสถาบันการเงิน แม้ธนาคารมีสภาพคล่อง แต่กลับไม่กล้าปล่อยกู้ เพราะกลัวหนี้เสียเพิ่มขึ้น ขณะที่ AMC ที่ตั้งขึ้นใหม่ต้องบริหารเชิงพาณิชย์เพื่อให้เกิดผลตอบแทน ไม่ใช่เพียงกลไกชั่วคราว หากขาดระบบติดตามและประเมินผล จะทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า ลูกหนี้หลังได้รับการช่วยเหลือแล้วจะกลับมาสร้างหนี้ใหม่หรือไม่ นอกจากนี้ ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ธนาคารจะกลับมาปล่อยกู้มากขึ้นหรือไม่

ดร.แดน มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยมาตรการระยะสั้น เสนอให้รัฐบาล 7 เรื่องคือ 1) จัดตั้งศูนย์รวมข้อมูลเครดิตลูกหนี้ทั้งในและนอกระบบ พร้อมขึ้นทะเบียนเจ้าหนี้นอกระบบ 2) ตั้ง “คลินิกแก้หนี้” โดยกำหนดดอกเบี้ยและค่างวดตามพฤติกรรมทางการเงิน (Behavior-based) ส่วนเรื่องที่ 3) ควรพิจารณาหนี้ทั้งหมดเสมือนเป็นบัญชีเดียว โดยบูรณาการข้อมูลหนี้ทั้งหมดจากทุกบัญชีของลูกหนี้ เพื่อพิจารณาเสมือนรวมทุกบัญชีให้เป็นบัญชีเดียว เพื่อปรับโครงสร้างหนี้และปรับค่างวดให้เหมาะกับรายได้  4)ไกล่เกลี่ยหนี้ (ให้จบเร็วภายใน 30 วัน) โดยจัดให้มีระบบไกล่เกลี่ยออนไลน์/นอกเวลาราชการ และลดค่าธรรมเนียมศาลสำหรับรายย่อย  5)จัดระบบ Step-up payment โดยผ่อนปรนการชำระหนี้ในช่วงรายได้ผันผวน โดยเฉพาะเกษตรกรที่มีรายได้ตามฤดูกาล 
6)สนับสนุนนายจ้างเป็นผู้ป้องกันต้นทาง โดยการจัดสวัสดิการช่วยชำระหนี้ ปลดหนี้ และให้ความรู้ทางการเงิน  และ7) ให้แรงจูงใจเจ้าหนี้ในการไกล่เกลี่ยหนี้ เช่น ให้เครดิตภาษีแก่เจ้าหนี้ (ธนาคารและเอกชน) ที่ยอมปรับโครงสร้างหนี้ ยืดหนี้ ลดหนี้ หรือตัดจบหนี้ได้
ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการระยะยาว โดยดร.แดน เสนอว่า ต้องมีการ กำหนดเพดานดอกเบี้ยตามความเสี่ยงจริงของลูกหนี้ ไม่ใช้อัตราดอกเบี้ยเดียวกันกับทุกคน ต้องมี Positive Credit / Payback Score โดยให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกหนี้ดีเพื่อสร้างแรงจูงใจ นอกจากนั้นต้องรีเซ็ต NPL บางส่วน เพื่อไม่ให้ประวัติค้างในเครดิตบูโร จะสามารถให้กลับมาขอสินเชื่อได้ ควรผูกสวัสดิการรัฐกับการชำระหนี้ เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้ชำระหนี้ เพื่ออยากได้รับสวัสดิการ  การประกันรายได้ หรือ ประกันค่างวดชำระ โดยใช้ร่วมจ่าย (Co-pay) เพื่อชำระเบี้ยประกัน โดยเฉพาะลูกหนี้ที่รายได้ไม่แน่นอน การสร้างแรงจูงใจให้ออมและลงทุนก่อนใช้จ่าย เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมจากการก่อหนี้บริโภคเป็นหนี้ลงทุน และการออมเพื่อลงทุนก่อนใช้เพื่อบริโภค เช่น ลดหย่อนภาษีสำหรับเงินออมหรือการลงทุน
นอกจากนี้ดร.แดน ยังเสนอมาตรการระวังการบิดเบือนกลไกทางการเงิน  โดยควรต้องกำหนดราคารับซื้อหนี้เข้า AMC โปร่งใส โดยใช้ระบบ e-Auction และสูตรราคาตามข้อมูลจริง การไม่ล้างหนี้แบบเหมารวม แต่ใช้หลักการชำระหนี้ “ตามศักยภาพที่จ่ายได้จริง” ของแต่ละคน (pay-as-able) และ หลักความเข้ากันได้ของแรงจูงใจ (incentive-compatible) โดยออกแบบให้ ลูกหนี้ยิ่งมีวินัยมาก ยิ่งได้ส่วนลดมาก เจ้าหนี้ก็ได้เงินคืนเร็วและลดหนี้เสีย  ทั้งนี้ต้องมีการกำกับ Non-bank เพื่อป้องกันการเก็บค่าธรรมเนียมแฝงและขายหนี้เพื่อเก็งกำไรระยะสั้น  และMonitoring & Evaluation รายไตรมาส เพื่อติดตามประสิทธิผลและผลกระทบต่อระบบการเงิน  ส่วนมาตรการสุดท้าย ควรเน้นการแก้พฤติกรรมแบบยั่งยืน โดยปรับ Mindset: สร้างวัฒนธรรม “ออมก่อน ใช้ภายหลัง” และพัฒนา Financial Literacy: วางแผนการเงิน การหาช่องทางเพิ่มรายได้ และรู้เท่าทันมิจฉาชีพ

“การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยไม่อาจทำได้ด้วยมาตรการเดียว แต่ต้องอาศัย “การวางรากฐานเชิงโครงสร้าง” ที่ครอบคลุมทั้งรายได้ การใช้จ่าย และพฤติกรรมทางการเงิน รัฐบาลควรใช้แนวทางบูรณาการทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้ประชาชนหลุดพ้นจากวงจรหนี้ในที่สุด ปัญหานี้ไม่ใช่เพียงเรื่องเศรษฐกิจ แต่คือความมั่นคงของครอบครัวไทยและเศรษฐกิจไทย” ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ย้ำ

7 พฤศจิกายน 2568


บริษัท มีเดีย เน็ทเวิร์ค จำกัด
138, 140 ซอยอนามัย ถนนศรีนครินทร์ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ 10250
MEDIA NETWORK Co.,Ltd
138, 140 Soi Anamai Srinakarin Road Suanluang Suanluang Bangkok 10250
Tel. 02 721 4417 Fax. 02 721 5516
E-mail : phototechthailand@gmail.com


ติดต่อโฆษณาหรือข้อมูลเพิ่มเติม
โทร. 02 721 4417 , 097 921 2929 คุณขวัญ

แฟนเพจ Phototech Magazine


ออกแบบโดย touronthai