ดร.แดน แนะรัฐวางแผน 3 ระดับ เน้นแก้แบบพุ่งเป้า เชื่อบูรณาการทั้งระบบทำคุณภาพชีวิตประชาชนยั่งยืน

“ดร.แดน” แนะ แก้การเมืองประชานิยม-การศึกษา ทางออกคนไทยพ้นจน โดยที่ รัฐวางนโยบาย 3 ระดับเน้นแก้แบบพุ่งเป้า เชื่อ บูรณาการทั้งระบบทำคุณภาพชีวิตประชาชนดียั่งยืน
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (ดร.แดน) นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และประธานสถาบันการสร้างชาติ (NBI) กล่าวถึงประเด็น “ประเทศไทยจะพ้นจนได้อย่างไร” โดยมองว่า ประเทศไทยตอนนี้ กำลังประสบปัญหาในทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจเติบโตต่ำต่อเนื่อง นับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งคนยากจนมาก คนเสี่ยงยากจน 24.3 ล้านคน และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้สูง อันดับ 1 ของ East Asia & Pacific (2021) ปัญหาทั้งสาม จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยที่จำเป็นเร่งด่วนที่สุด คือความยากจน ซึ่งถือเป็นรากฐานของปัญหาอื่นทั้งหมด จากข้อมูลสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำปี 2567 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) พบว่า ประชากรที่ยากจนส่วนใหญ่เป็นแรงงานในภาคเกษตร ถึง45.49% มีระดับการศึกษาต่ำ กระจุกตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ โดยเฉพาะใน 10 จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด เช่น แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้คนกลุ่มนี้ยังคงอยู่ในภาวะยากจนคือการขาดเงินออม ปัญหาหนี้สิน การขาดที่ดินทำกิน และการขาดทักษะอาชีพที่สร้างรายได้สูง
โดยสาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนคนจนในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น ในปี 2567 ร้อยละ 84 ของผู้มีรายได้น้อยประสบปัญหาจากการขาดเงินออม อันเป็นผลจากรายได้ที่ไม่เพียงพอกับรายจ่ายประจำ ขณะที่ร้อยละ 71 เผชิญภาระหนี้สินซึ่งกัดกร่อนความสามารถในการดำรงชีพและลงทุนเพื่ออนาคต ปัจจัยเหล่านี้รวมกันกลายเป็นวงจรความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่ยากต่อการหลุดพ้นจากความยากจน หากไม่มีการปฏิรูปเชิงนโยบายเพื่อเสริมศักยภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประชาชนอย่างเป็นระบบ ที่ผ่านมาภาครัฐพยายามแก้ไขปัญหาความยากจนมาโดยตลอด แต่นโยบายที่นำมาใช้มีข้อจำกัดคือ 1) มาตรการที่ขาดประสิทธิภาพ เช่น นโยบายเรือธงอย่าง ‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ ของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งถือเป็นเป็นนวัตกรรมสวัสดิการของไทยและมีเจตนาที่ดีในการสร้างฐานข้อมูลและโอนเงินช่วยเหลือโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติกลับเกิดปัญหาการตกหล่น คนจนจริงกว่าครึ่งไม่ได้รับสิทธิ์ ขณะที่งบประมาณส่วนหนึ่งถูกจัดสรรให้แก่ผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย
2) เน้นการสงเคราะห์เฉพาะหน้า นโยบายส่วนใหญ่ของรัฐบาลต่างๆ มักเป็นนโยบายประชานิยมที่เน้นการให้ความช่วยเหลือระยะสั้น เช่น การแจกเงิน หรือการพักชำระหนี้ ซึ่งใช้งบประมาณจำนวนมาก (ร้อยละ 78.45 ของงบแก้จนในปี 2567 เป็นต้น) แต่ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวได้
และ 3) ไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น งบประมาณปี 2567 ในส่วนที่ควรใช้ยกระดับศักยภาพทุนมนุษย์ การปรับโครงสร้างการผลิต หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น กลับมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 21.28 ซึ่งไม่เพียงพอต่อการสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองของประชาชน ซึ่งไม่เพียงเกิดขึ้นกับงบประมาณในปี 2567 แต่เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน เพื่อนำพาประเทศไทยหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างแท้จริง ว่า ภาครัฐต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำเนินนโยบาย โดยจะต้องมีชุดนโยบายที่ผสมผสานกันในหลายระดับทั้งระดับมหภาค ซึ่งเป็นนโยบาย “กวาด” คนจนส่วนใหญ่ และมีระดับจุลภาค และ ระดับบุคคล เป็นนโยบาย “เก็บตก” เพื่อช่วยคนจนที่เหลือ ที่เป็นกลุ่มคนเจาะจง โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการทำให้ประชากรสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน แทนที่การพึ่งพิงเงินช่วยเหลือจากภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งนโยบายระดับมหภาค ควรมุ่งเน้นในการแก้ไขคนจนจำนวนมาก เป็นการ “กวาด” คนส่วนใหญ่ให้พ้นจนโดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในภาพรวม เพื่อสร้างโอกาสและลดต้นทุนการใช้ชีวิตให้กับประชาชน โดยมีข้อเสนอที่สำคัญ คือ “การขยายความเป็นเมืองอย่างชาญฉลาดและทั่วถึง” เนื่องจาก มีงานศึกษาจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาความเป็นเมือง (Urbanization) มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการลดความยากจน ซึ่งอาจทำได้ ดังนี้
1) การพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาประหยัดและบ้านเช่าในเมืองใหญ่และเมืองรอง (Urban Housing for All) ควบคู่ไปกับการรับรองสิทธิที่อยู่อาศัยในชุมชนแออัดผ่านแนวคิด “โฉนดชุมชนในเมือง” เพื่อลดค่าใช้จ่าย สร้างความมั่นคงและป้องกันการถูกไล่รื้อ
2) การลงทุนขยายระบบขนส่งสาธารณะราคาถูกให้เชื่อมโยงพื้นที่ชานเมืองและปริมณฑล (Connected Cities) พร้อมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Fiber/5G) ให้ครอบคลุม เพื่อลดต้นทุนการเดินทางและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลและตลาด
3) การจัดตั้งกองทุนพิเศษและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุน SMEs และสตาร์ทอัพในเมืองรอง (Inclusive Urban Economy) เพื่อสร้างงานและกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจไม่ให้กระจุกตัวอยู่เพียงในกรุงเทพมหานคร 4) การจัดตั้งศูนย์ยกระดับทักษะอาชีพในเขตเมืองที่ประชากรมีรายได้น้อย (Human Capital in Cities) โดยเน้นทักษะที่เป็นที่ต้องการของตลาด เช่น ทักษะดิจิทัล โลจิสติกส์ และการดูแลสุขภาพ พร้อมทั้งประกันการเข้าถึงการศึกษาและบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ
นอกจากนี้ ดร.แดน ยังกล่าวถึง นโยบายระดับจุลภาค ที่มุ่งแก้ไขปัญหาความยากจนต้องเจาะจงไปยังกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ที่มีปัญหาความยากจนรุนแรงเป็นพิเศษ ซึ่งควรมีนโยบายดังนี้ 1) การปรับเปลี่ยนโครงสร้างแรงงานภาคเกษตร แรงงานภาคเกษตรคิดเป็นร้อยละ 30 ของกำลังแรงงานทั้งหมด แต่สร้าง GDP ได้เพียงร้อยละ 8 ซึ่งสะท้อนถึงผลิตภาพที่ต่ำมาก ภาครัฐต้องมีนโยบายเชิงรุกในการ “ย้ายแรงงานภาคเกษตรสู่ภาคบริการและการผลิตที่มีผลิตภาพสูงกว่า” ผ่านโครงการ Reskilling และ Upskilling พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรกลการเกษตร (Farm Mechanization) และการทำฟาร์มขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรที่ยังคงอยู่ในภาคเกษตร 2) การส่งเสริมบทบาททางเศรษฐกิจของผู้หญิงการลงทุนกับผู้หญิง คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในการแก้ไขปัญหา ความยากจน งานวิจัย พบว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มนำรายได้ไปใช้จ่ายเพื่อการศึกษาและสุขภาพของบุตรหลาน ดังนั้นภาครัฐควรดำเนินนโยบาย เช่น ขยายบริการศูนย์ดูแลเด็กให้ครอบคลุมนอกเวลาทำการ เพื่อให้ผู้หญิงมีเวลาในการทำงานมากขึ้น การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการหญิง การแก้ไขช่องว่างของรายได้และบำนาญระหว่างเพศชาย-หญิง รวมทั้งการสนับสนุนการรวมกลุ่ม ในรูปแบบสหภาพหรือสมาคม เช่น โมเดล Self-Employed Women’s Association (SEWA) ในอินเดีย เพื่อสร้างเครือข่ายและอำนาจต่อรอง เป็นต้น และ 3) การส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เป้าหมาย (Targeted Poverty Alleviation): ประยุกต์ใช้แนวทางที่ประสบความสำเร็จในประเทศจีน โดยการ “จับคู่หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ยากจน” เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ปัญหาเชิงลึกของแต่ละครัวเรือนและชุมชน และเชื่อมโยงกับมาตรการของรัฐที่เหมาะสม เพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างตรงจุดและวัดผลได้
ส่วนนโยบายระดับปัจเจกบุคคล สำหรับประชากรที่อาจตกหล่นจากนโยบายในระดับมหภาคและจุลภาค ภาครัฐจำเป็นต้องมีนโยบาย ”เก็บตก” ที่สร้างหลักประกันขั้นพื้นฐานให้กับทุกคน ได้แก่
1) การพัฒนาสมรรถนะพื้นฐานสากล (Universal Basic Competency) และการรับประกันการมีงานทำ (Job Guarantee): รัฐต้องเปลี่ยนจากการสงเคราะห์เป็นการสร้างศักยภาพ โดยส่งเสริม “สมรรถนะพื้นฐานสากล” (Universal Basic Competency) ให้กับประชาชนทุกคน ควบคู่ไปกับการพิจารณาโครงการ “รับประกันการจ้างงาน” (Job Guarantee) ที่รัฐเป็นนายจ้างทางเลือกสุดท้าย (Employer of Last Resort) จัดหางานในโครงการสาธารณะประโยชน์ให้แก่ผู้ที่หางานไม่ได้ เพื่อสร้างหลักประกันด้านรายได้และความมั่นคง 2) การแจกหุ้นแบบถ้วนหน้า (Universal Share Holding) และกระแสทุนแบบต่อเนื่อง (Passive Capital) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการถือครองทุน ภาครัฐควรพิจารณานโยบาย “การแจกหุ้นแบบถ้วนหน้า” โดยกระจายหุ้นของรัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพให้แก่ประชาชนผ่านระบบการออมภาคบังคับ เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและมีรายได้จากเงินปันผล นอกเหนือจากรายได้ค่าจ้างเพียงอย่างเดียว เรียกว่า กระแสทุนแบบต่อเนื่อง (Passive Capital)
“การแก้ไขปัญหาความยากจนในประเทศไทย ต้องการการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการตั้งรับ และให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าไปสู่การดำเนินนโยบายเชิงรุกที่มุ่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและสร้างศักยภาพให้ประชาชน ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ข้อเสนอเชิงนโยบายทั้ง 3 ระดับตั้งแต่การปรับโครงสร้างประเทศ ในระดับมหภาค การพุ่งเป้าไปยังกลุ่มประชากรและพื้นที่เฉพาะในระดับจุลภาค ไปจนถึงการสร้างหลักประกันให้รายบุคคล ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ต้องดำเนินไปพร้อมกันอย่างจริงจังและบูรณาการ พร้อมกับการออกแบบนโยบายของรัฐที่ตรงจุด ที่ต้องไม่มุ่งเน้นใช้งบประมาณไปกับนโยบายประชานิยม แต่มุ่งมั่นที่จะสร้างการเมืองให้สุจริต ไม่โกง ไม่มีการใช้เงินซื้อเสียงในกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ ประเทศไทยจะสามารถสร้างอนาคตที่ประชาชนทุกคน มีโอกาสหลุดพ้นจากความยากจนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างยั่งยืน” ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ย้ำ
19 ตุลาคม 2568

Health & Wellness
Identity Dermatology Center เปิดศูนย์ยกกระชับผิวระดับโลกยกระดับเป็น Identity EndoliftX Global Training Center แห่งแรกในเอเชีย
เทคนิคการทำตาสองชั้นสวยๆสไตล์ไอดอลเกาหลี
เปิดกลยุทธรักษาผู้ป่วยแนวใหม่โรงพยาบาลบนมือถือ ยุค 5G ผ่านแอปฯ พบหมอ “MorOnline” ป่วยไม่สะดวกเดินทาง ต้องการพบหมอ ทำได้แค่ปลายนิ้ว ปรึกษาหมอได้หลากหลาย ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน และแพทย์แผนไทย